อาหารแก้เครียด
อารมณ์ดีกับอาหารสีสัน
เมื่อได้รู้จักพื้นที่จิตของตัวเองแล้ว
ทีนี้เมื่อจะหาอาหาร ช่วยต้านเครียดหรืออาหารผสานอารมณ์ให้ได้ดีไม่ใช่เรื่องยากเลย
แถมยังทำให้รู้สึกมีความสุขกับการรับประทานอาหารมากกว่าเดิม
เพื่อความยากทานยากทานในมื้อต่อๆไป
เรื่องความอยากรับประทานอาหาร หรือจะปรุงอาหารใดให้คนติดใจในรสมือ ที่เรียกว่า
มีเสน่ห์ปลายจวักนี้ ที่จริงแล้วไม่ยากเย็นเสียทีเดียว
และไม่ต้องเที่ยวไปเรียนเป็นเชฟให้ว้าวุ่นแต่อย่างใดด้วย
การที่จะเป็นพ่อครัวได้นั้นเพียงแค่มีเรื่องของ “ปากศิลป์” ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับปากแต่อย่างใด แต่ต้องอ่านว่า ปา-กะ-สิน ซึ่งเป็นศิลปะแห่งการรู้ใจคนทางปากนั้น
ต้องรู้จักเหตุที่ทำให้มนุษย์รู้สึกอร่อยลิ้นกับอาหารอยู่ 4 ประการหลัก
คือ
1.สีสันของอาหาร
2.รสชาติอาหาร
3.กลิ่นของอาหาร
4.สุขภาพของผู้รับประทาน
ซึ่งจะเห็นว่าที่จริงการที่เราจะชื่นชมอาหารจานนี้ว่าอร่อยถึงใจหรือเจ้านี้ทำอาหารอร่อยระดับแม่ช้อยนั้นหาได้มาจากแค่ชิวหาสัมผัสอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่จำต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างดังที่กล่าวไป
และที่จริงยังมีปัจจัยหยุมหยิมกว่านี้อีกมาก เป็นต้น ว่าอารมณ์ในขณะรับประทานอาหาร
ผู้ร่วมรับประทาน ดินฟ้าอาหาร และอื่นๆอีก ซึ่งยากที่จะจาระไนได้ถ้วน แต่สำหรับ 4
ประการนี้ก็พอจะช่วยให้ผสานกับอารมณ์ได้เป็นอย่างดีแล้ว
กฎในการทานหลากสี
สำหรับการทานอาหารอย่างเราๆท่านๆที่อยู่ร่วมกันในยุค
“อาหารกองรอบกาย” เช่นนี้ โดยเฉพาะเมืองไทยที่ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็มีแต่ของทานทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะอาหาร “ทานเล่น” หรือ “ทานจริง” อยู่รอบกายทั้งสิ้น ถ้าเราไม่ซื้อมาทานเอง
ก็จะมีผู้ซื้อมาประเคนให้ทาน มีเพื่อนร่วมงานชักชวนกันทาน
จิ้มโน่นนิดนี่หน่อยอร่อยเพลินใจ จนบางทีลืมคิดไปว่า
ตรวจสุขภาพประจำปีทีไรมักมีไขมันขึ้นมาให้ได้สนุกกันทุกปีราวกับโปรโมชั่นมือถือแพ็กเกจคู่
ซึ่งที่จริงแล้วเราสามารถพลิกวิกฤติแห่งปรากฏการณ์ “สวาปามอย่างท่วมท้น”
นี้ให้กลายเป็นโอกาสได้ยากเย็นนัก ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทานยาลดความอ้วนหรือการดูดไขมันแต่อย่างใด
เพียงแค่ท่านใช้กฎแห่งการทานหลากสีที่จะกล่าวต่อไปนี้เท่านั้นเอง
โดยให้เทคนิคไว้เลือกทานง่ายๆ คือ ให้หาผักผลไม้สีเขียวก็ได้ สีเหลืองแดงจัดก็ดี
ทานให้มากเข้าอย่างน้อยก็ต้องครึ่งกิโลกรัม และให้เลี่ยงอาหารสีดำนานาชนิด เช่น
กาแฟ บุหรี่ ยาเส้น หมากพลูและเหล้าเบียร์ต่างๆ สำหรับในรายละเอียดก็มีดังต่อไปนี้
เลือกทานผักสีเขียวจัด
ยิ่งเขียวมากยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่มักมีสารต้านมะเร็ง
ยับยั้งการเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้ เช่น ผักบรอกโคลี กะหล่ำหรือคะน้า
ที่มีสารต้านสนิมแก่ และมีสารสกัดมะเร็งไม่ให้โตเปะปะพเนจรไปเรื่อยๆ
ซึ่งสารกลุ่มนี้มักจะมีธาตุกำมะถันเจืออยู่ด้วย ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายก็คือ
มักมีกลิ่นเหม็นเขียวหรือฉุน ดังนั้นการที่ท่านไปรับประทานสารสกัดหรือเลือกผักชนิดที่กลิ่นน้อยก็อาจทำให้ไม่ได้สารมีประโยชน์เหล่านี้เพียงพอ
ดื่มชาเขียว
นับเป็นสีเขียวอีกอย่างที่ควรบริโภค
ด้วยว่ามีสารที่ช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิดอยู่ด้วย
แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ตะบี้ตะบันดื่มแต่ชนิดสำเร็จรูปเป็นขวดนะครับ
ขอให้ชงเองจะดีมีคุณค่ากว่ามาก ด้วยว่าสาระสำคัญนามว่า “คาเทชิน”
จะมีมากในชาเขียวที่ท่านปรุงเองมากกว่า และขอฝากเคล็ดไว้อีกนิดว่า
อย่าดื่มตอนร้อนจัดขนาดลวกไข่สุกได้ ด้วยว่าหลอดอาหารของท่านก็อ่อนนุ่มพอกับไข่
ถ้าได้ชาร้อนราดรดลงไปก็อาจทำให้มันสุกเปื่อย หากปล่อยไปเรื่อยๆ
ก็กลายเป็นมะเร็งได้
เลือกทานผักผลไม้สีแดงเหลือง
ซึ่งสีแดงเหลืองนี้มีคุณมากในแง่ที่ช่วยต้านสนิมแก่ และที่สำคัญก็คือ
ช่วยเรื่องของระบบประสาทด้วย ถ้าอยากให้ประสาททุกส่วนไม่ว่าจะสมองหรือนัยน์ตาดี
นอกจากมีของเขียวแล้วก็ขอให้ใส่ใจในเหลืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด พริกเหลือง
พริกหยวก มะเขือเทศ หรือ แครอท
เลี่ยงการดื่มกาแฟหรือชาสำเร็จรูป
เนื่องจากมีกาเฟอีนไปบีบหัวใจได้และทำให้ปัสสาวะบ่อย เกิดอาการขาดน้ำ
ถ้าร่างกายไม่สบายอยู่แล้วก็จะยิ่งทำให้ร้อนและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น
เลี่ยงของหวานและอาหารแป้ง
ซึ่งเป็นมิจฉาชีพที่คอยจะชิงเอาความหนุ่มสาวไปจากเรา
โดยไปกดการสร้างฮอร์โมนหนุ่มสาวจากสมอง และที่สำคัญ คือ
ฤทธิ์ในการทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นลงอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุไซโคลน
โดยเมื่อน้ำตาลในเลือดของท่านขึ้นมาฉ่ำบ้างไม่ฉ่ำบ้างนั้น
จะทำให้ท่านเกิดอาการสบายใจ ชวนให้ง่วงเหงาหาวนอนพลางหงุดหงิด ความคิดตันบ้าง
สิ่งนี้เองคืออิทธิพลของแป้งในการแต่งอารมณ์ทุกข์ให้เรา ซึ่งมีพลังมากทำให้
“หดหู่แบบสั่งได้” ทีเดียว
ปกิณกะคดีสีอาหารต้านเครียด
เวลามีอาการปวดศีรษะเฉียบพลันไม่ว่าจะไมเกรนหรือปวดจากความเครียดนั้น
วีธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างหนึ่งก็คือ
การมองภาพที่ชวนให้สบายตาโดยเฉพาะภาพสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน
การมองดูท้องฟ้าสีฟ้าใสในทุ่งหญ้าก็ช่วยได้มาก
ส่วนการอาหารเป็นยาต้านเครียดให้ชะงัดดีนั้นเรื่องสีก็นำเด่นมาเช่นกัน ดังที่เราจะเห็นว่าถ้าแวะไปซื้อเนื้อสดในตลาดหรือหาสเต็กตามร้านทานสักที่ก็คงเลือกร้านที่ดูเนื้อสดดี
ไม่มีสีช้ำเน่า
จึงทำให้ร้านขายเนื้อพากันใช่ไฟสีแดงหรือสีแสดเพื่อส่องเนื้อของตนให้ดูน่ารับประทาน
แต่ถ้าร้านใดต้องการจะลดยอดขายตัวเองก็ควรจะต้องใช้ไฟออกสีฟ้าหรือเขียวสาดใส่ซึ่งจะทำให้เนื้อแดงอย่างดีกลายเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนองกลายเป็น
“อาหารปอบ” ในทันที
นี่เองคืออิทธิพลของสีสันที่ช่วยกันปรุงแต่งให้อาหารอร่อยขึ้นอย่างที่จะลืมเสียมิได้
แม้ท่านจะไม่ได้เป็นเชฟมิชลินสามดาว
แต่ถ้ารู้คุณสมบัติของสีอาหารเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยก็จะทำให้อาหารอร่อยไม่รู้ลืมเป็นเสน่ห์ปลายจวักได้เหมือนกัน
สำหรับคุณสมบัติของอาหารแต่ละโทนสีที่มีผลต่ออารมณ์ได้นั้น
เราคงต้องมาดูแต่เป็นผู้รักสุขภาพอย่างยิ่งยวดทั้งนั้น
ผมจึงขอนำเสนออาหารสีสันในรูปแบบหนึ่งซึ่งจะเจาะลึกเป็นกลุ่มใหญ่ที่ใช้ประโยชน์ได้ทันทีดังนี้
อาหารโทนสีส้มแดงเหลือง
ที่ยกสีนี้ขึ้นเป็นอันดับแรกก็เพราะช่วยเรื่องของอารมณ์และผิวพรรณโดยตรงเลย
ด้วยว่าอาหารกลุ่มสีชวนแสบตานี้ ส่วนใหญ่มักประกอบด้วยวิตามินเอและวิตามินอี
ถ้าไม่อยากจำให้มากเรื่องก็ลองนึกถึงภาพ “ดอกตะวัน” (The Sunflower)
ของยอดศิลปินฟานน็อก ( ที่เราเรียกกันว่าแวนโกะห์) ดูก็ได้ ด้วยท่านฟานน็อกนี้นิยมสีส้มสีแดงเป็นอันมาก
จึงชอบวาดรูปกองฟางแห้งสีเหลืองหรือไม่ก็ดอกทานตะวันในอิริยาบถต่างๆ
แทนวาดมนุษย์ซึ่งภาพในกลุ่มนี้ของท่านก็มีอยู่เยอะ หาได้มีแต่ดอกทานตะวันเหี่ยวๆ
ที่เราเคยเห็นราคาเป็นล้านเท่านั้น และที่สำคัญยังช่วยในเรื่องความจำ
เพราะเมล็ดดอกทานตะวันนี้เป็นแหล่งวิตามินอีชั้นดีทีเดียว
สำหรับวัตถุดิบของบ้านเราที่จะนำมาจัดเป็นอาหารโทนสีเหลืองแดงนี้ก็มีอยู่มาก
โดยเฉพาะขมิ้นที่ยิ่งช่วยต้านแก่ ป้องกันไม่ให้สมองเสื่อม
โดยเอาเหง้าของขมิ้นชันหรือขมิ้นอ้อยมาปอกเปลือกโขลกให้ละเอียด
เติมน้ำแล้วกรองเอาแต่น้ำก็ได้น้ำสีเหลืองสวยมาผสมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหมกไก่
แกงเหลือง หรือข้าวราดแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่น ยิ่งทานยิ่งทำให้ผิวดีขึ้น
หรือจะเป็นผงขมิ้นที่ใส่แกงส้มกินให้สีสวยกลายเป็น “แกงเหลือง”
รสจัดจ้านต้านอัลไซเมอร์ นอกจากนั้นยังมีอาหารเหลืองที่ดีอีก เช่น ดอกคำฝอย
ซึ่งช่วยคุมไขมัน ป้องกันหัวใจ บำรุงประสาท และขับประจำเดือนได้ด้วย ดอกคำฝอยจะทำให้สีเหลืองอ่อนกว่า
เพียงแค่นำดอกไปต้มในน้ำเดือดราว 5 นาที แล้วช้อนเอากากทิ้งเหลือ ตาน้ำ
ซึ่งสามารถเอาไปผสมกับขนมหวานประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ได้เลย
ส่วนวัตถุดิบอีกอย่างหนึ่งซึ่งฟังดูแล้วเป็นไทยมาก
แถมยังอยู่ใกล้ตัวแต่ไม่ค่อยมีใครคิดจะนำมาทำอาหารนั่นคือ ต้นพุด
ซึ่งประเทศในแถบเอเชียเรานิยมมาก
โดยในญี่ปุ่นนั้นนิยมใช้แก่นไม้พุดมาทำเป็นหวีด้วยเชื่อว่าจะทำให้มีโชคลาภ
ส่วนของไทยเราท่านให้เอาแก่นไม้พุดมาสับแล้วต้มในน้ำร้อนเดือด
จากนั้นใช้ผ้าขาวบางกรองกากออกเหมือนเดิม แล้วค่อยนำมาเติมแต่งในขนม เช่น ถั่วแปบ
ซึ่งทำให้เหลืองนวลดูน่ารับประทานมากขึ้น
นอกจากนั้นยังมีสีของผักไทยๆ
ที่มีสีสันสดใสในโทนนี้อีก สีนั่นก็คือ สีแดง คุณแม่ของผมและตัวผมเองนั้น
เพลิดเพลินกับการรับประทานสะเดาน้ำปลาหวานมานานนักหนา
ถึงขนาดว่าถ้าไม่มีปลาดุกย่างมันตกมาแกล้มด้วยก็สามารถทำไข่ดาวทานกับสะเดาน้ำปลาหวานได้อย่างไม่ต้องลงแดงกันนัก
โดยสะเดาที่ว่าขมหนักหนาแต่ว่ามันดีนั้น ถ้าเลือกดีๆ จะไม่ขมจัดและดีอย่าบอกใคร
ส่วนความลับที่คนมักไม่ค่อยทราบเรื่องสะเดาก็คือ เปลือกของต้นสะเดา
นี้มีคุณค่าทางด้านการต้านชราและช่วยปรุงแต่งอารมณ์ได้ดีทีเดียว
เพียงแค่เอาเปลือกของต้นสะเดามาสับแล้วต้มในน้ำเดือดชั่วขณะ
ก็จะได้สีแดงสวยออกมาใช้อาหารของต้นสะเดามาสับแล้วต้มในน้ำเดือดชั่วขณะ ก็จะได้สีแดงสวยออกมาใช้ผสมอาหารหรือขนมให้มีสีแดงยั่วใจได้ไม่ยากเย็น
แถมสีแดงนั้นยังอุดมไปด้วย สารต้านแก่ คือวิตามินเอและอี
ช่วยให้สมองโปร่งโล่งดีเสียด้วย
สำหรับเรื่องอาหารสีแดงแรงไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระนี้ยังมีอยู่อีกมาก
แต่ที่จำได้ดีเรื่องหนึ่งก็คือ “ซอสมะเขือเทศ” เจ้าซอสสีแดงรสเปรี้ยวๆหวานๆ
ที่รับประทานกับไก่ทอดหรือผัดกับข้าวให้สีแดงสวยเด็กชอบ
ไปจนถึงใช้ใส่เย็นตาโฟได้เวลาสิ้นคิดหาเต้าหู้ยี้ไม่ทัน ที่จริงแล้วคำว่า
“เค็ทชัป” นี้มีรากศัพท์มาจากคนจีนโพ้นทะเล และก็ไม่ใช่แต่เพียงศัพท์เท่านั้น
หากแต่รวมถึงสูตรการปรุง ก็ถูกดัดแปลงมาจากของคนจีนนี่เอง โดยเดิมทีนั้น
คนจีนเขาก็มีน้ำซอสที่ได้จากการหมักปลาเช่นกันใช้ปรุงอาหาร เติมน้ำซุปให้อร่อยออกรสดีขึ้น
ซึ่งสูตรนี้ก็ถูกเรียกตามภาษาจีนว่า Ke Tsiap ซึ่งคนจีนไม่ว่าไปอยู่ไหนก็ใช้กันเรื่อยมาจนถึงจีนที่อยู่สุดของอุษาคเนย์
คือ สิงคโปร์ เมื่อสัก 200-300
ปีก่อนนี้ก่อนที่ท่านเซอร์ราฟเฟิลจะไปพบเกาะสิงคโปร์ เข้า
กะลาสีเรือชาวอังกฤษก็ได้ไป “ขโมย” สูตรการทำซอสรสเด็ดนี้มา “ขมาย”
คือขโมยปนกันแปลงกายให้เป็นแบบที่ถูกลิ้นทานอร่อยไม่เหม็นคาวนัก
โดยเริ่มใส่เครื่องเทศเข้าไปและใช้มะเขือเทศเติมเข้ามา จนในที่สุดก็ไม่เห็นเค้าเดิมอีกต่อไป
เรียกกว่าถ้าเจ้าของสูตรชาวจีนมาเห็นเข้าคงร้องไอ้หยา
แล้วก็ว่านี่ไม่มีทางมาจากเมืองจีนแน่ แต่อย่างไรความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตาย
ของอย่างนี้มีเมืองจีนที่เดียวที่ทำได้ใช้กันไปจนถึงอิตาลีมีหน้าพิซซ่าราดซอสมะเขือเทศทีเดียว
วิตามินอีและเอที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มนี้ก็ล้วนแต่ละลายในไขมันได้
สมองของเราและระบบประสาทโยงใยทั้งหลายก็เป็นไขมันเช่นกัน
จึงต้องการวิตามินเหล่านี้ละลายเข้าไปช่วยอย่างมาก
ซึ่งอาหารกลุ่มนี้ก็จะมีมะเขือเทศ ฟักทอง แครอท พริกหยวก เสาวรส ข้าวโพด และอีกมาก ถ้าจะสรุปให้ชัดขึ้นถึงคุณประโยชน์ที่ท่านจะได้จากการทานผัดฟักทองกับไข่
หรือทานแกงจืดข้าวโพดอ่อนก็คือ
ช่วยบำรุงสมองและปรับสมดุลอารมณ์ให้ดีขึ้น
จากฤทธิ์ของวิตามินเอและอีที่เข้าไปบำรุงประสาทที่รวมถึงจอประสาทตาที่เสื่อมลงยามเราอายุมากขึ้นด้วย
ช่วยบำรุงผิว
ต้านสนิมแก่ไม่ให้มาจับทำลายอณูผิวตั้งแต่ในระดับดีเอ็นเอ
ด้วยวิตามินเอกับอีคุณสมบัติเป็นผู้ให้ที่ดี
คือจะยอมพลีกายให้สนิมแก่มาจับแทนอณูเซลล์ผิวเราซึ่งต้องโดนกระทบกระทั่งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ช่วยเจริญอาหาร
เพราะโดยมากผักผลไม้สีเหล่านี้มีธาตุเจริญอาหารจำพวกวิตามินบี เอ และอี
ซึ่งชวนให้ผิวดีไม่มีสนิมแก่มากและที่สำคัญสารกลุ่มต้านสนิมแก่นี้มีความขมที่ทำให้อยากอาหารได้มากขึ้นด้วย
อาหารโทนสีเขียว
ผลของอาหารโทนสีเขียวนี้ฤทธิ์ช่วยเสริมเติมสุขภาพมากกว่าที่เราคิดมากนัก
หาใช่แค่เรื่องของแอนติออกซิแดนต์ต้านสนิมแก่อย่างเดียว
หากแต่มีเรื่องของสารต้านเซลล์มะเร็งและเส้นใยขัดถูลำไส้ด้วย
ซึ่งยากที่จะหาจากอาหารเสริมทั่วไปที่ไร้กาก นอกจากนั้นยังมีสารยอดฮิตคือ
“คลอโรฟิลล์” (Chlorophyll) ซึ่งเป็นเสมือนเลือดของพืชมีสีเขียว ช่วยในการสร้างอาหารให้พืชอยู่ได้มนุษย์หัวใจหัวไสจึงใช้ข้อดีนี้สกัดเอาคลอโรฟิลล์มาใช้บำบัดด้วย
จึงขอสรุปรวบยอดผลดีของอาหารสีเขียวไว้ดังต่อไปนี้
ช่วยต้านเซลล์มะเร็งที่กำลังแบ่งตัวอยู่ทุกขณะ
และชะลอความชราต้านสนิมแก่ที่ได้รับเข้ามาสมากขึ้นด้วยธาตุสีเขียวอันลือนามคือ
“คลอโรฟิลล์” ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเลือดของพืชในการปรุงอาหารเติมความสมบูรณ์ภายในให้
ถ้าเรารับประทานเข้าไปก็จะช่วยได้เช่นกัน
ช่วยเจริญอาหารเนื่องจากมีกลุ่มของวิตามินบีที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้มากอย่างที่รู้กัน
ช่วยลดความเสี่ยงต่อการหมักหมมของเศษอาหารในลำไส้เนื่องจากมีเส้นใยที่ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
ช่วยดูดซับไขมัน น้ำตาล
และระดับอินซูลินในเลือด
ช่วยลดความดันโลหิต
หากรับประทานผักใบเขียวและลดอาหารเค็มร่วมกัน
ที่จริงสูตรอาหารต้านเครียดโดยใช้สีเขียวนี้ยังมีอีกมาก
เพราะไม่ว่าผักหญ้าใดของไทยเราก็ล้วนแต่มีสีเขียวสดเขียวแก่เป็นส่วนใหญ่
เรื่องสีเขียวนี้ถ้าพูดไปก็เห็นจะมีบุคคลอยู่กลุ่มซึ่งใช้ประโยชน์จากทั้งสีเขียวและกลิ่นด้วยมาช่วยทำเป็น
“สุคนธบำบัด” ซึ่งผมเห็นว่าเป็นภูมิปัญญาที่ไม่เลวทีเดียว
ถ้าไม่ขี้เกียจจนเกินไปบางทีผมยังหัดเอามาทำบ้างเลย นั่นคือท่านผู้ขับรถแท็กซี่ทั้งหลายที่อุตส่าห์ไปหาใบเตยหอมฟุ้งจรุงจิตชวนให้คิดถึงสมัยวัยเด็กเวลาไปดูผู้ใหญ่ท่านทำขนมงานตรุษหรืองานสารท
เรียกว่าพอขึ้นแท็กซี่ที่มีกลิ่นใบเตยแล้ว ชวนให้ท้องร้อง
กลับไปบ้านวันนั้นเจริญอาหารมากทีเดียว บางทีถึงต้องไปหาใบเตยมาทำข้าวต้มใบเตยร้อนๆ
ทานให้ชื่นใจก่อนนอนเสียก่อนด้วย
โดยใบเตยนี้ท่านสามารถนำมาทำเป็นอาหารร่าเริงได้ไม่ต้องใช้ดมกลิ่นอย่างเดียว
โดยไปหาใบเตยมาสัก
1-2 กอเอามาตำให้ละเอียด เติมน้ำลงไปนิดหน่อยพอท่วม
จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง ก็จะได้น้ำใบเตยสีเขียวสวยมีกลิ่นหอม
จะใช้ผสมกับน้ำตาลทรายแดงดื่มหรือนำมาไปผสมอาหารให้มีสีเขียวจางและมีกลิ่นเตยเข้มข้นชื่นใจกว่าที่ไปซื้อเขาเสียอีก
แถมยังแน่ใจด้วยว่าได้คุณค่าทั้งคลอโรฟิลล์กับวิตามินเอครบแบบไม่หดหายไปไหน
ไม่เผลอไผลได้ของแถมเป็นยาฆ่าแมลงเสียด้วย
อาหารโทนสีน้ำเงินม่วง
เมื่อพูดถึงอาหารสีน้ำเงินม่วงเชื่อว่าหลายท่านคงนึกถึงขนมกลีบดอกอัญชันบ้าง
หรือบางท่านนึกไกลไปถึงแชมพูดอกอัญชัน
แต่ที่จริงแล้วมีอาหารใกล้ตัวเราหลายอย่างที่มีสารสีม่วงนี้อยู่ไม่ว่าจะเป็นมะเขือยาวซึ่งมีมากที่สุด
หอมแดง หรือส้มสีสวย โดยอาหารโทนสีน้ำเงินม่วงนี้จะมีสารตัวหนึ่งชื่อว่า แอนโธไซยานินส์
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพสูงมาก ปัจจุบันจึงมีการสัดนำมาทำเป็นอาหารเสริมไม่ว่าจะสารเมล็ดองุ่น
(Grape Seed Extract) เปลือกสน (Pine Bark) ไวน์แดง หรือแม้แต่มังคุด (แต่ต้องทานเปลือก) นอกจากนั้นยังมีอาหารแปลกอีกอย่างนั่นคือแครอท
แต่เป็นบรรพบุรุษแครอทรุ่นแรกเมื่อหลายร้อยปีก่อนจึงจะมีสีม่วงแปร๊ดสะใจ
เต็มไปด้วยแอนโธไซนินส์ถึงใจพระเดชพระคุณเป็นยิ่งนัก
แต่ทั้งนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องคร่ำครวญถึงญาติวงพงศาของแครอทก็ได้
ด้วยว่าการรับประทานมะเขือยาว องุ่นสด
หรือกะหล่ำปลีม่วงก็สามารถให้สารแอนโธไซยานินส์นี้ได้มากพออยู่ หรือวัตถุดิบไทยๆ
อย่างดอกอัญชันซึ่งเมื่อครั้งยังเรียนอยู่นั้นเคยนำมาคั้นน้ำจุ่มระดาษกรองทำเป็นกระดาษตรวจความเป็นกรดด่างเอง
ส่วนสมัยก่อน ถ้าใครเกิดทัน
ผู้ใหญ่บางท่านนิยมเอาดอกอัญชันมาเขียนคิ้วให้ทารกด้วยเชื่อจะทำให้เด็กคิ้วดกดำสวยงามดี
ซึ่งก็เป็นความจริงที่ว่าอัญชันช่วยบำรุงรักษาดวงตา แก้อาการตาฟางมืดมัว
แถมยังช่วยขับปัสสาวะได้ด้วยถ้าอยากได้สารม่วงจากอัญชันนี้มากๆก็เอามาผสมอาหาร
อย่างขนมชั้น ซ่าหริ่มหรือถั่วแปบ
แค่ไปเด็ดกลีบดอกอัญชันที่เลื้อยอยู่ข้างบ้านเอายีให้ช้ำหน่อยแล้วเติมน้ำเล็กน้อย
กรองด้วยผ้าขาวบางเอาเฉพาะน้ำมาผสมขนมหรืออาหาร
ก็จะได้สีน้ำเงินที่ดูน่ารับประทานพร้อมกันกับสารแอนโธไซยานินส์ที่ต้านชราแบบครอบจักรวาลอีกด้วย
แต่ในบางคราเราอาจไม่แน่ใจที่เรารับประทานนั้นเพียงพอหรือไม่
ดังนั้น ถ้าอยากให้พอจริงก็อาจต้องบริโภคให้มากขึ้นหรือจะใช้อาหารเสริมสกัดเข้ามาช่วยด้วยก็ด้วยก็ไม่ผิดแปลกแต่อย่างใด
ซึ่งจะขอเล่าถึงประโยชน์ของอาหารสีน้ำเงินม่วงให้ฟังกันดังนี้
ต้านพลังทำลายจากรังสียูวีในแสงแดด
มีศักยภาพในการต้านสนิมอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินเอและอี
มีส่วนเกี่ยวข้องกับการป้องกันต้อกระจก
เส้นเลือดขอด โรคหัวใจ
โรคกระเพาะอาหาร และโรคมะเร็ง
นึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญไม่แพ้กันกับประโยชน์ของแอนโธไซยานินส์ก็คือ
“แสงแดด” และ “ออกซิเจน” ที่มากจนเกินไป
สำหรับแหล่งอื่นที่ท่านอาจหาอาหารที่อุดมไปด้วยแอนโธไซยานินส์ก็มี แอปเปิลฟูจิ
ที่ผลสีแดงเรื่อสดสวยราวแก้มสาวรุ่นน้ำส้มสีเลือด (Blood Orange) แยมบลูเบอรี่
หรือแม้แต่มะเขือเทศพันธุ์ใหม่สีม่วงสวยที่มีการเริ่มเพาะที่ประเทศอังกฤษขึ้นมาก็ใช้เป็นอาหารต้านอารมณ์บูดได้
อาหารโทนสีขาว
อาจเริ่มสงสัยว่าสีขาวจะมีอะไรบ้างนะ
ที่จริงแล้วผักโทนสีขาวนี้มีเยอะมากทีเดียว แถมเป็นผักที่ดีมากเสียด้วย
เพราะมีสารต้านสนิมแก่ สารลดไขมันในเลือด และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
ซึ่งผักสีขาวเหล่านี้ได้แก่ หัวหอม กระเทียม ผักกาดขาว ต้นหอม ผักชีฝรั่ง ลูกสาลี่
ไวน์ขาวและอีกมาก ซึ่งสมบัติของอาหารในกลุ่มนี้จะมีสารต้านการเกิดเนื้องอกดังต่อไปนี้
1.อัลลิซิน (Allicin)
2.เคอร์ซิติน (Quercetin)
3.แคมเฟอร์รอล (Kaempferoll)
โดยสารในกลุ่มนี้จะมีของดีที่ประกอบอยู่ก็คือ
“กำมะถัน” (Sulfur) ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ผักสีขาวเหล่านี้มีกลิ่นแรงไม่ว่าจะเป็นกระเทียมหรือผักชีก็ตาม
ดังนั้น ถ้ากลิ่นคือของดีสำหรับผักในกลุ่มนี้
ก็ต้องคอยดูให้ดีว่ายังมีสารล้ำค่าเหล่านี้อยู่ครบหรือไม่ ถ้าคิดจะเลือกไปรับประทานอาหารเสริมชนิดที่ปราศจากกลิ่นก็น่าเสียดายกลายเป็นได้ของที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมไปเสีย
สีอาหารช่วยอารมณ์
แต่จะรื่นรมย์กับชีวิตได้ต้องใช้สติ
เหล่านี้เองคือคุณประโยชน์ของอาหารสีสัน
นอกจากจะช่วยเจริญอาหารในด้านจักขุสัมผัสแล้ว
ถ้าท่านเลือกรับประทานโดยเน้นสีให้สดเข้าว่าและมีความหมายสดใหม่ไม่ทิ้งค้างไว้ก็พอที่จะช่วยบำรุงทั้งสมองและอารมณ์ไม่ให้บูดไว้
สำหรับอาหารหลากสีนั้นอาจช่วยชูอารมณ์เราได้ไม่ให้เศร้าหมอง
แต่สำหรับอาหารบำรุงดวงจิตต้องคิดเช่นนี้ว่า
ชีวิตของบุคคลนั้นก็ย่อมต้องมีสีสันผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละช่วงวัย ไม่มีใครจะห้ามได้หรือทำเสมือนพรหมบันดาลได้ดั่งประสงค์
ชีวิตหนึ่งก็มีเดี๋ยวมืด เดี๋ยวสว่าง สลับกันไป บางคราเป็นสีชมพูหวาน
แต่บางเวลาก็เป็นสีดำทึบชวนระทม แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะสีใดก็ไม่เคยที่จะฉาบติดคงทนอยู่บนชีวิตเราได้ตลอดไปเลย
ขอเพียงให้มีสติอยู่ในทุกลมหายใจให้ดีแล้วเราจะได้เห็นสีสวยๆ
ที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาในชีวิตอีกมากทีเดียว